วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“โมสาร์ท เอฟเฟกต์” เสียงที่กระตุ้นการทำงานของสมองคุณ

รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข

นพ.อุดม เพชรสังหาร

เชื่อหรือไม่ว่านอกจากใช้เสียงเพื่อการสื่อ สารแล้ว เสียงยังมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของสมองอีกด้วย จากการศึกษาของนักวิชาการตะวันตกทำให้เราทราบว่าเสียงที่มีความถี่สูงๆ นั้นมีผลที่จะกระตุ้นให้การทำงานของสมองดีขึ้น ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “โมสาร์ท เอฟเฟกต์” (Mozart Effect)

ทั้งนี้ อัลเฟรด เอ โทมาติส (Alfred A. Tomatis) แพทย์ชาวฝรั่งเศสได้ศึกษาพบว่าดนตรีสามารถใช้พัฒนาการสื่อสารของมนุษย์ได้ โดยเขาศึกษาบทเพลงของ โวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) คีตกวีชาวออสเตรียและประดิษฐ์คำว่า "โมสาร์ทเอฟฟเฟกต์" ขึ้น และในปี 1993 ดร.กอร์ดอน ชอว์ (Dr.Gordon Shaw) และ ดร.ฟรานเซส เราสเชอร์ (Dr.Frances Rauscher) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California) ก็ศึกษาพบว่าดนตรีของโมสาร์ทมีส่วนช่วยให้ความสามารถในเชิงตรรกะและความจำ ของมนุษย์ดีขึ้น

รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข ผู้อำนวยการวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่ารอบตัวเราเต็มไปด้วยเสียงซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อคนเรา เสียงจำแนกตามความน่าฟังได้ 2 ประเภทคือเสียงที่น่าฟังและเสียงที่น่ารำคาญ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเสียงที่ไพเราะจะเป็นเสียงที่น่าฟังเสมอไป เพราะหากเราไม่อยากฟังเสียงนั้นก็เป็นเสียงน่ารำคาญได้ ส่วนเสียงดนตรีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ เสียงดนตรีของจักรวาล ได้แก่ เสียงลม น้ำ เสียงดนตรีที่อยู่ในตัวมนุษย์ เช่น เสียงพูด และเสียงดนตรีที่ออกมาจากเครื่องดนตรี ซึ่งเป็นเสียงดนตรีในความหมายปัจจุบันที่ยอมรับกัน

ในด้านอิทธิพลของเสียงนั้น รศ.ดร.สุกรีกล่าวว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวมีผลต่อการแสดงออกของคนๆ หนึ่งได้ และโดยแท้จริงแล้วเด็กเป็นลูกของสิ่งแวดล้อม รอบตัวของเด็กเป็นอย่างไรก็จะส่งผลให้เด็กเป็นอย่างนั้น พร้อมทั้งยกตัวอย่างเช่นเด็กที่เกิดมาท่ามกลางการพูดแบบสำเนียงสุพรรณ เด็กคนนั้นก็จะติดสำเนียงสุพรรณไปตลอดชีวิต เป็นต้น

ส่วนในทางการแพทย์นั้น นพ.อุดม เพชรสังหาร จิตแพทย์ด้านการส่งเสริมพัฒนาเด็กและการอ่านกล่าวว่ามีการใช้เสียงเพื่อการ บำบัดทางด้านจิตเวชมานานแล้ว และเสียงยังมีอิทธิพลกับเด็กตั้งแต่ในท้อง โดยเสียงแรกที่เด็กได้ยินคือเสียงเต้นของหัวใจแม่ซึ่งเต้นเป็นจังหวะ จึงน่าจะเป็นเหตุผลว่าคนเราถูกสร้างมาให้ขึ้นจังหวะ และเสียงที่มนุษย์ได้ยินนั้นมีความถี่ 20 เฮิรตซ์ -20,000 เฮิรตซ์ ทำให้เราสามารถที่จะจำแนกเสียงแต่ละอย่างได้และทำให้เราเกิดการเลียนเสียง และสื่อสารได้จึงเป็นที่มาของการเรียนรู้ อีกทั้งเสียงพูดคุยของแม่ยังเป็นเสียงที่กระตุ้นการเจริญของสมองเด็กที่ดี

สำหรับเหตุผลที่เสียงเพลงของโมสาร์ทมีอิทธิพลต่อสมองนั้น นพ.อุดม กล่าวว่าเป็นเพราะเพลงของโมสาร์ทเป็นเพลงที่มีความถี่ค่อนข้างสูง ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่าเสียงที่ความถี่สูงช่วยกระตุ้นการเชื่อมต่อของปลาย ประสาททำให้การทำงานของสมองดีขึ้น

นพ.อุดมเล่าเพิ่มเติมว่านักวิจัยเชื่อว่าเสียงเพลงของโมสาร์ทนั้น เกิดจากการทำงานของประจุไฟฟ้าในสมองโมสาร์ทที่ซับซ้อน ก่อนจะแปลเลี่ยนเป็นโน้ตเพลง ดังนั้นการเปลี่ยนตัวโน้ตของโมสาร์ทกลับไปเป็นเพลงซึ่งความถี่ของเสียงเพลง โมสาร์ทนั้นน่าจะช่วยกระตุ้นการทำงานของประจุไฟฟ้าของสมองได้

อย่างไรก็ดี รศ.ดร.สุกรีกล่าวว่าเพลงไทยหรือเสียงดนตรีอื่นๆ ก็อาจมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองได้เช่นกัน แต่ขณะนี้ยังไม่ใครศึกษาและต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ดังนั้นหากใครอยากใช้ดนตรีในการช่วยบำบัดก็มีเพลงของโมสาร์ทเป็นตัวเลือก แล้ว อีกทั้งโดยส่วนตัว รศ.ดร.สุกรีเชื่อว่าเสียงเพลงที่เราชอบก็น่าจะเป็นอีกตัวเลือกในการใช้ดนตรี กระตุ้นการทำงานของสมอง

สำหรับบทเพลงของโมสาร์ทนั้น ขณะนี้ทางบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผลิตชุดเพลงของโมสาร์ทออกมาจำหน่ายแล้ว โดยได้ผลิตซีดีเพลงโมสาร์ทสำหรับคนทั่วคนไปขึ้นมา 1 ชุด และจะผลิตซีดีเพลงสำหรับเด็กในครรภ์จนถึงเด็กเล็กขึ้นอีก 2 ชุดในเร็วๆ นี้ ซึ่งมีวางจำหน่ายในศูนย์หนังสือของซีเอ็ดทั่วประเทศ

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


the-game-of-life
atari-games-for-pc
computer-game-cheats-hints
free-online-poker-games
free-party-games-to-print
free-ps2-games-download
outdoor-party-games
pc-games-hints-walkthroughs
pirates-of-the-caribbean-game
the-price-is-right-game

จบแพทย์เยอรมันอ้างใช้พลัง “ควอนตัม” รักษามะเร็ง-เอดส์

สาธิตการรักษาด้วยการนั่งสมาธิส่งพลัง สุดท้ายอ้างมีพลังงานชั่วร้ายออกมาต่อต้าน

ประชาชนให้ความสนใจเข้ารับฟังจำนวนมาก

จบแพทย์เยอรมัน อ้างใช้พลัง “ควอนตัมบำบัด” แก้เอดส์ มะเร็ง หวัดนก สารพันโรค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญ-บาปของผู้ป่วย แจงได้เทคนิคนี้จากการนั่งสมาธิและเป็นมังสวิรัติกว่า 15 ปีจนมีพลังจิตสูง บวกกับต้องมีเซลล์สมองมากกว่าคนปกติกว่า 10 เท่าจึงจะเกิดพลัง

ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ ซึ่งมีการบรรยายและกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับพลังจิตมากมาย หนึ่งในนั้นมีการบรรยายเรื่อง “พลังควอนตัมบำบัด” (Quantum Medicine) โดย นพ.สอ้าน สังขวาสี ให้ข้อมูลว่าเป็นผู้ที่ได้รับทุน DAAD จากรัฐบาลเยอรมันไปศึกษาแพทย์ที่ประเทศเยอรมนีและอาศัยอยู่ 15 ปี จึงได้ปริญญาผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทั่วไปกับผู้เชี่ยวชาญโรคเมืองร้อน และยังได้รับปริญญาเอกด้านการแพทย์ด้วย

ทั้งนี้ นพ.สอ้านได้สวมเสื้อกราวน์เข้ามาบรรยายพร้อมกล่าวถึงพลังที่อ้างว่าสามารถ รักษาโรคเอดส์ ไข้หวัดนก ตับอักเสบ มะเร็งและอีกหลายโรคได้ โดยเริ่มต้นว่า “แมกซ์ พลังค์” (Max Planck) ค้นพบว่าอิเล็กตรอนวิ่งและเกิดพลังงานออกมา และยิ่งอิเล็กตรอนวิ่งเร็วมากๆ ก็ได้พลังงานออกมามากเช่นกัน จึงได้อาศัยหลักการดังกล่าวในการบำบัดโรค โดยเขาจะใช้อำนาจจิตบังคับให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เข้ากระแทกกับเชื้อโรคใน ร่างกาย

วิธีการรักษาของเขาคือให้คนไข้นั่งสมาธิและทำจิตให้สงบ ส่วนเขาก็จะนั่งสมาธิด้วยเช่นกันเพื่อจะปล่อยพลังออกมาให้คนไข้ ทั้งนี้เขากล่าวพลังดังกล่าวสามารถรักษาโรคเอดส์ ไข้หวัดนกได้ง่ายๆ โดยให้เหตุผลว่าโรคเหล่านั้นเป็นของนุ่ม ในขณะที่โรคมะเร็งจะต้องรักษาเป็นเวลานานเนื่องจากเป็นของแข็ง แต่ไม่ได้อธิบายว่า “ของแข็ง” และ “ของนุ่ม” นั้นคืออะไร และใช้พลังจิตบังคับอิเล็กตรอนจากที่ใด

อีกทั้งยังได้แจกเอกสารที่อธิบายคำว่า “ควอนตัม” คือ “การเคลื่อนไหวของอิเล็กตรอนทำให้เกิดคลื่นพลังงาน แต่การเคลื่อนไหวมิได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นไปอย่างช่วงๆ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันแม็กซ์ พลังค์ได้ค้นพบความจริงข้อนี้ และเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ควอนตา" (Quanta) และได้กลายเป็นพื้นฐานของ "ควอนตัม ฟิสิกส์" (Quantum Physics) อีกทั้งเขายังได้ชี้ว่าอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เจ้าของทฤษฎีสัมพันธภาพ E=mc2 ซึ่งโด่งดังและกลายเป็นอมตะตราบเท่าทุกวันนี้ก็มาจากควอนตัม ฟิสิกส์”

อย่างไรก็ดี จากคำอธิบายข้างต้นดูเหมือนบางสิ่งบางอย่างได้ขาดหายไป เมื่อพิจารณาทฤษฎีควอนตัมของพลังค์ซึ่งอธิบายถึงการเปล่งรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ออกมาเป็นกลุ่มๆ ที่เรียกว่า “ควอนตัม” ซึ่งพลังงานของกลุ่มรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านั้นขึ้นอยู่กับความถี่ของรังสี อีกทั้งก่อนหน้านี้หากท่านได้อ่านบทความของ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) จะพบว่าทฤษฎีที่สร้างชื่อให้ไอน์สไตน์นั้นต้องเรียกให้ถูกว่า “สัมพัทธภาพ” และสมการ E=mc2 ก็ไม่ได้มาจากทฤษฎีควอนตัม

พร้อม กันนี้ นพ.สอ้านได้อ้างว่ารักษาผู้คนอย่างลับๆ มาแล้วนับพันคน ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาจะหายหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบาป-บุญที่ทำ ผู้ที่มีใจบุญจะหายได้ง่าย ส่วนผู้ใจบาปจะหายได้ช้า โดยให้เหตุผลว่าผู้ที่ทำบาปจะเกิดสนามพลังของความชั่วร้ายออกมาต่อต้านกับ พลังที่เขาส่งไปบำบัดโรค เขายังกล่าวอีกว่าพลังในการรักษาโรคดังกล่าวได้มาจากการที่เขานั่งสมาธิและ ทานอาหารมังสวิรัติติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยผู้ที่มีพลังนี้จะต้องเซลล์ในสมองมากกว่าคนปกติหลายสิบเท่าด้วย และยังไม่รู้จักใครที่ใช้วิธีรักษาเช่นเดียวกับเขา

ขณะเดียวกันก็มีชายผู้หนึ่งที่เข้าฟังการบรรยายเรียกร้องให้เขาสาธิต วิธีการรักษา และเขาก็ตอบรับข้อเรียกร้องนั้นเกือบจะในทันที ซึ่งเขาได้นั่งสมาธิเป็นเวลานาน 1 นาที จากนั้นก็กล่าวว่าเขาได้ส่งพลังไปยังชายคนนั้นแล้วแต่มีพลังชั่วร้ายออกมา ต่อต้าน ทำให้เขาช่วยอะไรไม่ได้

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


new-wii-games
bmx-games
christmas-games-for-groups
download-full-psp-games
easter-party-games
free-online-hidden-objects-games
free-strategy-games
fun-fun-fun-games
girl-fashion-games-online
play-sims-games-online

ผมชอบจัง! “ร้อยลูกปัด” เรียนคณิตศาสตร์ในศิลปะ

นางนงลักษณ์ ศรีสุวรรณ ผู้บุกเบิกคณิตศาสตร์ในศิลปะ

น้องปรายกับกำไลฝีมือตัวเอง

เริ่มต้นด้วยการออกแบบ

"ลูกปัด" วัตถุดิบ

การประยุกต์ใช้กับการทอผ้า

หากคุณมีภาพความทรงจำที่แสนจะโหดร้ายในห้อง เรียนซึ่งมีเพียงกระดานดำกับคุณครูดุๆ ลบอดีตนั้นทิ้งไปเสีย ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จะพาคุณไป “ร้อยลูกปัด” การเรียนรูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยงโลกของคณิตศาสตร์ซึ่งไม่ได้มีเพียงตัวเลข เข้ากับศิลปะและชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว

“การร้อยลูกปัด” เป็นแนวทางหนึ่งในการเรียนแบบบูรณาการที่ทำให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาได้เข้าเนื้อหาคณิตศาสตร์เรื่อง “แบบรูป” อย่างเป็นรูปธรรม โดยเป็นเนื้อหาหนึ่งของ “พีชคณิต” ซึ่งเกี่ยวกับ “จำนวน” และ “รูปทรงเรขาคณิตกับรูปทรงอื่นๆ” ที่ทางสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ พัฒนาตั้งแต่ พ.ศ.2544 และทางกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุลงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2546 ทั้งนี้หลักจากนักเรียนได้เรียนรู้แบบรูปมากพอที่จะจำแนกจำนวนและรูปทรง ต่างๆ แล้ว ขั้นต่อไปคือลงมือปฏิบัติเพื่อแสดงสารพัดจินตนาการอันบรรเจิด โดยการร้อยลูกปัดให้มีรูปแบบคละขนาด รูปแบบ และสีตามความชอบ

นางนงลักษณ์ ศรีสุวรรณ ผู้ชำนาญสาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา (สสวท.) ผู้บุกเบิกการสอนหลักสูตร “แบบรูป” จากการร้อยลูกปัดกล่าวว่าเป็นการเชื่อมโยงคณิตศาสตร์เข้ากับศิลปะ ทำให้นักเรียนได้เข้าใจคณิตศาสตร์อย่างสนุกสนานและยังได้ประสบการณ์ทางด้าน วิชาชีพพื้นฐานด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการสอนคณิตศาสตร์หรือวิชาชีพพื้นฐานนั้นก็ต้องสอนเรื่อง เหล่านี้อยู่แล้ว แต่ครูจะต้องรู้จักการเชื่อมโยงความรู้ทั้ง 2 ด้านเข้าหากัน ซึ่งอาจเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ เช่น การเรียงกระดาษรูปร่างและสีต่างๆ ให้การเป็นธงประดับ หรือการถอผ้าก็เป็นอีกรูปแบบของการประยุกต์ศิลปะเข้ากับคณิตศาสตร์ได้

“วิธีการสอนดังกล่าวช่วยให้นักเรียนได้มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักออกแบบ วางแผนและได้ลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งนอกจากนักเรียนจะได้ความรู้คณิตศาสตร์แล้ว ยังได้รู้จักศิลปะและประยุกต์ใช้เข้ากับชีวิตจริงด้วย แต่ทั้งนี้การร้อยลูกปัดเป็นเพียงปลายทางของการเรียนรู้ซึ่งการออกแบบต่าง หากที่เป็นต้นทาง แต่ทั้งนี้ครูต้องออกแบบการสอนให้เป็นและเชื่อมโยงความรู้ให้ได้ จะเป็นครูคณิตศาสตร์หรือครูการงานก็ได้แต่ต้องว่าบอกเด็กได้ว่าเชื่อม โยงอย่างไร การเรียนที่ผ่านมาไม่สำเร็จเพราะเราไม่ได้เชื่อมโยงกัน

มาดูทางด้านนักเรียนกันบ้าง ด.ช.ชัชวาลย์ ครองธรรมหรือน้องปราย นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนดาราคาม เป็น เด็กที่ชื่นชอบการเรียนคณิตศาสตร์ เพราะทำให้ได้รับความรู้ใหม่ๆ หลายอย่าง และยังได้ฝึกคิด สังเกต ตีความโจทย์ปัญหา รวมถึงได้ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้บวก-ลบเงินทอนในการซื้อของจากพ่อค้า-แม่ค้าได้ เป็นต้น

น้องปรายเพิ่มเติมว่าชอบการเรียนคณิตศาสตร์ด้วยการร้อยลูกปัด ซึ่งสอนเรื่องการนับเลขว่าใส่ลูกปัดเท่าไหร่แล้ว และยังนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น ทำโมบายตกแต่งห้อง หรือทำสร้อยคอ กำไลเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อนได้


ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th


free-video-games
game-cheats-for-rachet-and-clank
games-entertainment-of-the-middle-ages
play-online-games
play-pokemon-games-online
sport-games
valentines-party-games
dress-up-funny-games
fun-games-to-play-for-married-couples
history-of-video-games-timeline

10 วิธีสังเกตข่าววิทย์แบบไหนเข้าข่าย "ลวงโลก!"

คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล จัดเสวนา “ข่าววิทย์ ลวงโลก!” ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ไบโอเทคยันอนาคตหวาง วู-ซุก ดับมอดแล้ว ชี้เรื่องมนุษย์ต่างดาวเชื่อว่ามีจริงแต่ส่วนมากเป็นของเก๊ ไม่เชื่อการติดต่อผ่านทางโทรจิต แจง 10 บัญญัติจับผิดของลวงโลก–ชอบยกคำพูดหรูๆ มาตบตา โดยไม่มีเหตุผลรองรับ อ้างสรรพคุณเกินจริง ไม่ต้องพิสูจน์ และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบเท่าที่จะทำได้

หากใครมีเวลาว่างหรือมีโอกาสไปเยี่ยมชมงาน "มหิดล-พญาไท บุ๊คแฟร์ ครั้งที่ 2" ณ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถ.พญาไท ระหว่างวันที่ 7-11 ก.พ.นอกจากจะได้พบนิทรรศการและหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากมาย พร้อมกับมีการตั้งวงเสวนาเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ชม งานด้วย

วันนี้ (10 ก.พ.) ได้มีการจัดเสวนากันในหัวข้อ “จับผิด ข่าววิทย์ลวงโลก!" โดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดีเอ็นเอจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เจ้าของผลงานเขียน เรื่อง "GMOs: ความจริง ความลวง และความสับสนในสังคมไทย" "มหัศจรรย์ ดีเอ็นเอ (DNA)" ทั้งภาค 1 และภาค 2

ทั้งนี้ ประเด็นที่ยากจะหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงในครั้งนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของ ดร.หวาง วู-ซุก (Hwang Wu-Suk) นักวิจัยสเต็มเซลล์ชาวเกาหลี อดีตเจ้าของรางวัลขวัญใจมหาชนแดนกิมจิ ชั่วหลายปีมานี้ ที่ต้องย่อยยับลงไปเมื่อมีการจับได้ว่า ผลงานสเต็มเซลล์ต่างๆ นานาของเขา เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ อีกทั้งยังกระทำผิดจริยธรรมนักวิจัย ซึ่งเขาไปบังคับให้ลูกทีมให้บริจาคเซลล์ไข่เพื่อการทดลองด้วย โดยผลพลอยได้ที่แม้แต่ดร.หวางเองก็ไม่อยากได้คือ มีการตั้งข้อสงสัยถึงผลงานทั้งหมดที่เขาเคยอวดอ้างสรรพคุณว่าจริงแท้และแน่ นอนว่า “มีชิ้นไหนบ้างที่เก๊และชิ้นไหนบ้างที่จริงชนิดทองแท้ไม่กลัวไฟ!!?”

สำหรับผลกรรมที่ ดร.หวาง ฮีโร่กำมะลอคนนี้จะได้รับแน่นอนจากพฤติกรรมฉาวคือ จะไม่มีใครเชื่อถือเขาอีกต่อไป ส่วนรายงานวิชาการที่เขาได้ (ถูก) บังคับให้ถอนจากวารสารไซน์ (Science) ก็จะไม่มีการอ้างอิงใดๆ ต่อไปอีก เสมือนว่าไม่เคยมีรายงานหรือการทดลองนี้เกิดขึ้นมาในโลกนี้เลย !!!

อย่างไรก็ตาม นอกจากประเด็นฮอตเรื่องดร.หวางแล้ว ได้มีผู้ขอความคิดเห็นเรื่องการมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาวต่อ ดร.นำชัย ด้วยว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่? ซึ่งเขาตอบว่า โดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว เขาเชื่อว่าในจำนวนดวงดาวที่มีอยู่มากมายเหลือคณานับ ย่อมมีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นได้บ้าง

ทว่า ที่มีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อมวลชนต่างๆ นั้นเชื่อว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการสำรวจเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง พบว่า ในช่วงใดก็ตามที่มีภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวออกมามาก ก็จะมีผู้อ้างว่าเห็นมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนในเรื่องที่มีผู้อ้างว่าสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผ่านทางโทรจิตนั้น เขาเชื่อว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ไม้เด็ดที่ ดร.นำชัย นำมาบอกเล่าในวงเสวนาคือ “บัญญัติ 10 ประการ” ในการจับผิดข่าววิทย์ลวงโลก หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิทยาศาสตร์เทียม” หรือ “วิทยาศาสตร์เก๊” ได้แก่ 1. ความก้าวหน้าในแวดวงวิทยาศาสตร์ย่อมจะมีความก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ หากพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปมากแล้ว แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยังเป็นข้อมูลเดิมๆ อยู่ ทั้งที่ไม่ได้เป็นข้อมูลพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยากจะหาข้อมูลมาหักล้างได้ ก็อาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าเป็นวิทยาศาสตร์เทียม

2.งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มักมีการทำซ้ำเพื่อยืนยันผลการวิจัยที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นควรมีการตรวจสอบว่าเคยมีผู้ใดทดลองซ้ำบ้างหรือไม่ และได้ผลตรงกันหรือต่างกันเพียงใด 3. ข่าววิทย์เก๊บางชิ้นมักมีเนื้อหาหรือกล่าวถึงการทดลองที่อยู่ในวงจำกัดเฉพาะกลุ่มตัวเองเท่านั้น หรืออาจเกี่ยวพันกับสถาบันน้อยแห่ง อีกทั้งมักมีเนื้อหาการวิจัยที่เก่ามากนับสิบปี

4.งานวิจัยหรือการค้นพบใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ส่วนมากมักสอดคล้องกับการค้นพบที่มีอยู่แล้ว 5. บทความวิทยาศาสตร์เทียมทั้งหลายที่อ้างว่าเชื่อถือได้ มักจะไม่ค่อยมีเอกสารอ้างอิงที่เชื่อถือได้อื่นๆ มารองรับ 6.วิทยาศาสตร์เทียมมักใช้ศัพท์ที่ดูเป็นวิชาการอย่างฟุ่มเฟือย แต่คลุมเครือ หาความชัดเจนไม่ได้

7.วิทยาศาสตร์เทียมมักมีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงชนิดที่ฟังดูก็รู้เช่น งานวิจัยชิ้นนี้มีความถูกต้องมากที่สุด ไม่มีทางผิด และไม่ต้องรับการพิสูจน์ใดๆ อีก 8.วิทยาศาสตร์เทียมมักมีการหยิบยกประโยคสวยหรูมาตบตาอยู่เสมอๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เลย เช่น “ยังมีเรื่องอีกมากมายในใต้หล้าที่เรายังไม่อาจล่วงรู้ได้” หรือบางครั้งก็หยิบยกคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังมากลบเกลื่อน เช่น “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ของอัลเบิร์ต ไอสไตน์

9.เมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์ปะปนอยู่ด้วย มักเน้นการโจมตีผู้วิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง มากกว่าการอธิบายข้อสงสัยหรือข้อกล่าวหา และ 10.บางครั้งอาจหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยผู้อื่น โดยอ้างว่าการทดลองได้ผลบ้างในบางครั้ง ส่วนบางครั้งอาจไม่ได้ผล ผิดกับวิทยาศาสตร์แท้ที่ต้องทำซ้ำได้ผลการทดลองแบบเดิมเสมอ

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

ncaa-basketball-games-watch-online
play-arcade-games-online
super-bowl-party-games
the-n-game
best-pc-games
free-online-soccer-games
interactive-math-games
virtual-cooking-games
disney-pixar-cars-games
free-educational-games

ขึ้นบัญชีดาว 5 แห่งแหล่งต้องสงสัยกำเนิด “มนุษย์ต่างดาว”

นักดาราศาสตร์อเมริกันระบุรายชื่อดาวฤกษ์ 5 ดวงบริเวณใกล้เคียงกาแล็กซีทางช้างเผือกที่มีแนวโน้มมากที่สุดว่าอาจจะเป็น แหล่งพำนักของสิ่งมีชีวิตนอกโลก อย่าง “มนุษย์ต่างดาว” ที่ชาวโลกควานหามานานหลายสิบปี

นานมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ดักฟังสัญญาณวิทยุจากกาแล็กซีอื่นๆ ที่ห่างไกลออกไป ด้วยความหวังว่า จะพบกับสิ่งมีชีวิตที่มีความศิวิไลซ์ในดาวดวงอื่น

ในการประชุมประจำปีของสมาคมวิทยาศาสตร์ขั้นสูงของอเมริกา (American Association for the Advancement of Science) ที่จัดขึ้นที่เซนต์หลุยส์ สหรัฐฯ มาร์กาเร็ต เทิร์นบูล (Margaret Turnbull) แห่งสถาบันคาร์เนอร์กีในวอชิงตัน ดีซี (Carnegie Institution of Washington) ได้เปิดเผยกฎเกณฑ์สำหรับการค้นหาดวงดาวที่เชื่อว่าจะมีมนุษย์ต่างดาวเอาไว้ อาทิ อายุของดวงดาวนั้นๆ และปริมาณธาตุเหล็กในชั้นบรรยากาศ

แคนดิเดตที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในบรรดาดาว 5 ดวงตามเกณฑ์ของ ดร.เทิร์นบูลคือ ดาวเบตา ซีวีเอ็น (beta CVn) ในกลุ่มดาวเคนส์ เวนาชิติ (Canes Venatici) ที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ และอยู่ห่างออกไป 26 ปีแสง หรือ 153 ล้านล้านไมล์

ก่อนหน้านี้ ดร.เทิร์นบูลระบุว่า มีดาวเคราะห์ประมาณกว่า 17,000 ดวงที่เธอเชื่อว่า อาจเป็น ‘ระบบดาวฤกษ์ที่สามารถอยู่อาศัยได้’ กล่าวคือ มีเงื่อนไขทางกายภาพที่ไม่สุดโต่งเกินไปที่จะจำกัดวิวัฒนาการและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนอกโลกและเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนั้น

จากสมมติฐานดังกล่าว เธอเลือกดาวฤกษ์ออกมา 5 ดวงที่ดูมีแนวโน้มมากที่สุดที่สนับสนุนทฤษฎีสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยเชื่อว่าจะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดหากเราต้องย้ายออกจากโลก หรือเพื่อศึกษาอย่างละเอียดต่อไป

“เซติ” หรือ (SETI : Search for Extraterrestrial Intelligence) คือ สถาบันเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิตใน ระบบจักรวาล ด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดคลื่นวิทยุทางไกลที่ประจำอยู่ในหอดูดาวทั่วโลก เพื่อตรวจดูบนฟ้าว่ามีการส่งสัญญาณชั้นสูงจากที่ใดบ้าง

นอกจากนั้น นักดาราศาสตร์ยังรวบรวมชุดหลักการที่เรียกว่า หลักการเซติ ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบโครงของสิ่งที่ควรทำหากตรวจพบสัญญาณเรียกมาจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก

ทว่า ภารกิจอันใหญ่ยิ่งนี้หมายความว่า นักวิทยาศาสตร์ควรหาวิธีลดเป้าหมายการค้นหาให้แคบลง ซึ่งก็คือวิธีการของ ดร.เทิร์นบูลในการเน้นถึงดวงดาวที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดซึ่งโคจรอยู่ รอบๆ โลกที่เราอาศัยอยู่

เกณฑ์ของ ดร.เทิร์นบูลคือ จะต้องเป็นดาวที่มีอายุอย่างน้อย 3,000 ล้านปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่โลกก่อกำเนิดและวิวัฒนาการจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งการก่อกำเนิดอารยธรรมขั้นสูงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ใช้เวลาเป็นพันๆ ปี ดังเช่นอารยธรรมของโลกเรา

ทั้งนี้ ดาวที่มีความเป็นไปได้ยังต้องมีธาตุเหล็กประกอบอยู่ในชั้นบรรยากาศอย่างน้อย 50% หากน้อยกว่านั้น จะไม่เอื้ออำนวยต่อการก่อกำเนิดของดาวเคราะห์ที่อุดมไปด้วยก้อนหินเหมือนกับโลกรอบๆ ดาวฤกษ์ดวงนั้น

ขณะเดียวกัน ดวงดาวที่มีมวลสารหนาแน่นกว่าดวงอาทิตย์เกิน 1.5 เท่า ยังมีแนวโน้มว่าจะมีอายุไม่ยืนยาวพอผลิตสิ่งที่เรียกว่า ‘พื้นที่อยู่อาศัย’ ซึ่งหมายถึงบริเวณรอบๆ ดวงดาวที่ดาวเคราะห์ภายในโซนนั้นสามารถที่จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์บนพื้นผิว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต

ทั้งนี้ เนื่องจากหากดาวเคราะห์อยู่ใกล้ดาวฤกษ์เกินไป ความร้อนจะทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอ แต่ถ้าไกลเกินไป น้ำอาจแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง

นักวิจัยของสถาบันคาร์เนอร์กียังตัดดาวฤกษ์ที่มีบริวารจำนวนมากออกไป เนื่องจากดาวบริวารเหล่านั้นอาจรบกวนพื้นที่อยู่อาศัย

ทางด้าน จิลล์ ทาร์เตอร์ (Jill Tarter) แห่งสถาบันเซติ กล่าวในที่ประชุมเดียวกันว่า นับจากนี้ต่อไป เซติจะฝึกการใช้เครื่องตรวจวัดคลื่นวิทยุทางไกลโดยเน้นที่ดาว 5 ดวงในลิสต์ของ ดร. เทิร์นบูล ซึ่งนอกเหนือจากดาวเบตา ซีวีเอ็นแล้วยังประกอบด้วย

ดาวเอชดี 10307 ซึ่งเป็นดาวในระบบสุริยะเหมือนกับโลก อยู่ห่างออกไป 42 ปีแสง มีมวลสาร อุณหภูมิ โลหะเกือบเหมือนกับดวงอาทิตย์ และมีดาวบริวารหนึ่งดวง

ดาวเอชดี 211415 มีโลหะเป็นองค์ประกอบครึ่งหนึ่งของดวงอาทิตย์ เย็นกว่าดวงอาทิตย์นิดหน่อย และอยู่ไกลกว่าเอชดี 10307 เล็กน้อย ดาว 18 สโก (18 Sco) ในกลุ่มดาวแมงป่อง มีลักษณะใกล้เคียงจนถูกเรียกว่าเป็นคู่แฝดของดวงอาทิตย์

สุดท้ายคือ ดาว 51 ปิกาซัส (Pegasus 51) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี โดยในปี 1995 นักดาราศาสตร์สวิสรายงานว่า ตรวจพบดาวเคราะห์ดวงแรกเหนือระบบสุริยะ โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ดวงนี้ และไม่นานนักดาราศาสตร์อเมริกันยืนยันว่า พบวัตถุที่คล้ายกับดาวพฤหัสในบริเวณเดียวกัน

ขอบคุณแหล่งที่มา/http://www.manager.co.th

cool-tiger-games
driving-online-no-download-games
free-online-math-games
math-games-online
play-free-pokemon-games
play-games-nickelodeon
the-crying-game
chess-free-games
free-online-medieval-rpg-games
msn-games-text-twist

Hello

sontayatamaun